นางสาวพิมพ์บุณยากรณ์ ทนหนองแวง รหัส 5305110061
http://www.ku.ac.th/e-magazine/july46/know/bladder.html
บทนำ
กระเพาะอาหารเป็นอวัยวะที่อยู่บนระดับลิ้นปี่
ทำหน้าที่เป็นที่พักและย่อยอาหารให้แตกย่อยในเบื้องต้น
จากนั้นจึงส่งต่อไปยังลำไส้เล็กเพื่อผ่านกระบวนการย่อยและดูดซึม
โรคกระเพาะอาหารเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง
แต่อุบัติการณ์การของโรคนี้ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานจำนวนที่แน่นอน
โรคนี้พบได้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั่วไป
สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
โดยมีรายงานว่าแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นคบได้บ่อยในคนวัยหนุ่มสาว โดยอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้คือ 35 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 4 เท่า
ส่วนแผลที่กระเพาะอาหารมักพบในวัยกลางคนขึ้นไป
โดยอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้คือ 42 ปี
และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง 3 เท่า 1
เพราะฉะนั้นโรคกระเพาะอาหารเปรียบเสมือนดั่งภัยเงียบที่คอยบั่นทอนสุขภาพ
หากละเลยไม่ให้ความใส่ใจดูแลสังเกตตนเองบ้าง อาจทำให้ได้รับความรุนแรงของโรคจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
หากพบว่าอาการปวดท้องของตนเองหรือบุคคลใกล้ชิด มีอาการที่ใกล้เคียงกับโรคต่างๆ
ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้นานนอกจากจะส่งผลให้การรักษาไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควรแล้ว
ก็อาจลุกลามกลายเป็นโรคร้ายแรงและอาจสูญเสียชีวิตในที่สุด
ความหมาย
ภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ
และลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะและลำไส้
ว่า ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึกmuscularis
mucosa เรียก ulcerถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก
gastric ulcerถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เล็กเรียกduodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย 2
คำว่า
"โรคกระเพาะ" ตามความหมายของแพทย์ หมายถึง
แผลที่เกิดบนเยื่อบุกระเพาะอาหาร (stomach) หรือลำไส้เล็กส่วนต้นหรือดูโอดีนัม (duodenum) ตรงกับคำว่า
แผลเพ็ปติก (Peptic ulcer) แต่เนื่องจากเรามักจะวินิจฉัย
ผู้ที่มีอาการปวดท้องตรงยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ที่เกิดก่อนหรือหลังกินอาหารว่าเป็น
"โรคกระเพาะ" โดยไม่มีการตรวจยืนยันด้วยการส่องกล้องตรวจ หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้งแบเรียม
ดังนั้น จึงมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางมากกว่า แผลเพ็ปติกเพียงอย่างเดียว และคงใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า
"อาหารไม่ย่อย" 3 ซึ่งมีสาเหตุอันหลากหลาย ป็นโรคที่พบได้บ่อยจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิตและโรคนี้ก็สามารถพบได้ในคนทุกวัย
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมายแต่เชื่อกันว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก
และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง
1.
เชื่อโรค Helicobacter pylori เป็นเชื้อรูปแท่งติดสีน้ำเงิน
มีความสามรถอยู่ในสภาวะกรดได้ดีเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุที่สำคัญของผู้ป่วยโรคกระเพาะ เชื่อว่าติดต่อโดยการรับประทานอาหาร และน้ำ เชื้อจะทำลายเยื่อบุ และฝังตัวที่กระเพาะอาหาร กรดจากกระเพาะอาหารจะช่วยทำลายเยื่อบุทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
2.
สาเหตุที่กระเพาะอาหารมีกรดมากขึ้น เกิดขึ้นเนื่องจากสิ่งต่อไปนี้กระตุ้นให้กรดหลั่งมาก
- กระตุ้นของปลายประสาท
เกิดจากความเครียด วิตกกังวลและอารมณ์
- การดื่มแอลกอฮอล์
ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง
- ชา กาแฟ
และน้ำดื่มที่มี Caffeine
จะทำให้กรดหลั่งออกมามาก
- การสูบบุหรี่
เนื่องจากบุหรี่ทำให้เกิดการหลั่งกรดออกมามาก
- การกินอาหารไม่เป็นเวลา
- ภาวะที่มีกรดหลั่งออกมามาก
เช่นโรค
Zollinger-Ellisson syndrome กรดที่หลั่งออกมามากจะทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
3.
มีการทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก
- การกินยาแก้ปวด
ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ
เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้วว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ
เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase II (Cox II) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ
- การกินอาหารเผ็ดจัด
และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู
- การดื่มแอลกอฮอล์
ได้แก่ เหล้า เบี้ย ยาดอง
4.
ประวัติเป็นโรคกระเพาะในครอบครัวหากครอบครัวไหนมีโรคกระเพาะ
คนในครอบครัวนั้นก็จะมีโอกาสเกิดโรคกระเพาะอาหารสูง
4
อาการของโรคกระเพาะอาหาร
ส่วนใหญ่มีอาการปวดท้องบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่มีประวัติเป็นเรื้อรังมา นาน โดยสุขภาพทั่วไปไม่ทรุดโทรม
บางรายมีอาการจุก เสียด แน่น เจ็บแสบหรือร้อน อาการจะสัมพันธ์กับการกิน
หรือชนิดของอาหาร เช่น อาจปวดมากตอนหิว หลังอาหาร อาการจะทุเลา แต่ผู้ป่วยบางคนอาการปวดเป็นมากขึ้นหลังอาหาร
โดยเฉพาะอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เป็นต้น
บางรายอาจมีอาการปวดท้องตอนกลางคืน
5 ลักษณะอาการปวดท้องที่สำคัญ คือ
1. ปวดท้อง
- ปวดบริเวณลิ้มปี
ปวดแบบแสบๆหรือร้อนๆ ปวดเรื้อรังมานาน เป็นๆหายๆเป็นเดือนหรือเป็นปี
- ปวดสัมพันธ์กับอาหาร
เช่น ปวดเวลาหิวหรือท้องว่างเมื่อกินอาหารหรือนม จะหายปวด บางรายจะปวดหลังจากกินอาหารหรือนมจะหายปวด
บางรายจะปวดหลังจากกินอาหารหรือปวดกลางดึกก็ได้
2. จุกเสียด
แน่นท้อง ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เรอลม มีลมในท้อง ร้อนในท้อง คลื่นไส้อาเจียน
3. อาการโรคแทรกซ้อน
ได้แก่
- อาเจียนเป็นเลือดดำ
หรือแดง หรือถ่ายดำ เนื่องจากมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น
- ปวดท้องรุนแรง
และ ช๊อค เนื่องจากแผลกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กทะลุ
- ปวดท้องและอาเจียนมาก เนื่องจากการอุดต้นของกระเพาะอาหาร
อาการอื่นที่พบได้
- น้ำหนักลด
- เบื่ออาหาร
- แน่นท้อง
ท้องเฟ้อ
- คลื่นไส้
อาเจียน 6
วิธีการป้องกันการเกิดโรค
วิธีการรักษาโรคกระเพาะอาหารทำอย่างไร1. กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่
- กินอาหารให้เป็นเวลา
- งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
- งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือยาดอง
- งดดื่มน้ำชา กาแฟ
- งดสูบบุหรี่
- งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร
- พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายคลายตึงเครียด
2. การให้ยารักษา โดยกินยาอย่างถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลาที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังนั้นภายหลังกินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะลดยาหรือหยุดยาวได้
3.การผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างดีจำนวนมากถ้าให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจทำให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่
- เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถทำให้หยุดเลือดออกได้
- แผลกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเกิดการทะลุ
- กระเพาะอาหารมีการอุดตัน 7
สรุป
โรคกระเพาะอาหารเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่งสามารถพบเกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุของมนุษย์
จึงเปรียบเสมือนดั่งภัยร้ายที่มีความรุนแรงมากหากเราปล่อยทิ้งไว้โดยที่ไม่ใส่ใจละลายกับอาการที่เกิดขึ้น
ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคนั้นมีมาจากหลายสาเหตุอาทิเช่น
การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาเลยทำให้มีกรดมากัดกร่อนกระเพาะอาหาร การสูบบุหรี่-ดื่มสุรา
รับประทานอาหารที่มีรสจัดเกินไป เป็นต้น สาเหตุต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เราทุกคนมองข้าม
แต่หากร่างกายของเราได้มีอาการดังกล่าวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่หายขาด จะเป็นๆหายๆ
และหากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจถึงขั้นเสียชีวิตก็เป็นได้
ดังนั้นเราควรใส่ใจกับสุขภาพของเราให้มากๆ
หากรู้ตนเองว่าเป็นบุคลที่มีพฤติกรรมหรือมีอาการที่บอกไว้แล้วข้างต้น
ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาแนวทางป้องกันและวิธีรักษาอาการดังกล่าว
ภาคผนวก
http://xn--12cl4ejkcb7dryebzcb6sf5j.blogspot.com เวลา 0:24 น. 23/09/11
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/GI/pu/peptic_ulcer.htm เวลา 0:11 น. 16/09/11
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/GI/pu/peptic_ulcer.htm เวลา 0:28 น. 16/09/11
http://men.mthai.com/content/1755 เวลา 0:20 น.
23/09/11
http://xn--12cl4ejkcb7dryebzcb6sf5j.blogspot.com เวลา 0:22 น. 23/09/11
อ้างอิง
- http://www.phyathai.com/phyathai/article_disease_sub01_stomach.php เวลา 18:43 น. 11/09/11
- http://www.thailabonline.com/sec51peptic.htm เวลา 21:59 น. 13/09/11
- http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/GI/pu/peptic_ulcer.htm เวลา 22:41 น. 16/09/11
- http://www.vibhavadi.com/web/health_detail.php?id=17 เวลา 23:36 น. 22/09/11
- http://men.mthai.com/content/1755 เวลา 0:20 น. 23/09/11
- http://xn--12cl4ejkcb7dryebzcb6sf5j.blogspot.com เวลา 0:22 น. 23/09/11
- http://www.ku.ac.th/e-magazine/july46/know/bladder.html เวลา 0:25 น. 23/09/11
โดย นางสาวพิมพ์บุณยากรณ์ ทนหนองแวง ผู้จัดทำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น