นางสาวเบญจวรรณ โคตนุกูล รหัส 5305110015
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพได้กล่าวไว้ว่า โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงแทบจะกล่าวได้ว่าผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ในทุกช่วงของชีวิต
นับตั้งแต่เด็กถึงวัยชราโรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ง่ายๆแต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามจนกลายเป็นโรคกรวยไตอักเสบเรื้อรังก็อาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรัง1
สาเหตุ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
พบบ่อยในสตรีโดยเฉพาะในช่วงอายุ 20-50ปีทั้งนี้เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชายและอยู่ใกล้กับทวารหนักเชื้อแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก
(ซึ่งปกติมีอยู่จำนวนมาก)จึงมีโอกาสสูงที่เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการฟักตัวและอักเสบได้ในสตรีวัยเจริญพันธุ์ 2 เชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่มักจะเป็นเชื้อโรคที่มีอยู่ในอุจจาระของคนเรา
เช่น เชื้ออีโคไล
เคล็บซิลลา สูโดโมแนส เอนเทอโรแบกเตอร์เป็นต้นเชื้อเหล่านี้มักจะแปดเปื้อนอยู่ตรง
บริเวณรอบๆ
ทวารหนักเนื่องจากการชำระหลังถ่ายอุจจาระไม่ถูกต้องสมบูรณ์เชื้อโรคก็จะแปดเปื้อนต่อผ่านท่อปัสสาวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีท่อปัสสาวะสั้นและอยู่ใกล้ทวารหนักจึงง่ายที่จะติดเชื้อเข้าไปในท่อปัสสาวะส่วนผู้ชายมีโอกาสติดเชื้อน้อยมาก เนื่องจากท่อปัสสาวะยาวและอยู่ห่างจากทวารหนักมาก
เมื่อเชื้อโรคเข้าไปอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
ถ้ามีการถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดก็สามารถขับเอาเชื้อโรคนั้นออกมาได้
ไม่เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะแต่ถ้าอั้นปัสสาวะอยู่นาน เช่น เวลารถติด
หรือเดินทางไปต่างจังหวัด (ไม่สามารถเข้าห้องน้ำ หรือ
กลัวห้องน้ำสาธารณะไม่สะอาด)หรือนอนกลางคืนแล้วขี้เกียจลุกเข้าห้องน้ำ
หรือหน้าน้ำท่วมไม่กล้าเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนกลัวมีงูเขี้ยวหรือทำอะไรเพลินจนลืมเข้าห้องน้ำ
เป็นต้น
เชื้อโรคที่เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะจึงมีเวลานานพอที่จะแบ่งตัวเจริญแพร่พันธุ์
จนทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ เกิดอาการขัดเบาขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้โรคนี้จึงมักพบได้ในผู้หญิงทั่วไปที่ไม่ระมัดระวังในการชำระล้างทวารหนักและชอบอั้นปัสสาวะ
นอกจากนี้ในคนบางคนยังอาจมีเหตุชักนำให้เกิดโรคนี้ได้มากกว่าคนทั่วไป
(เรียกว่ากลุ่มเสี่ยง)เช่น
- คนที่เป็นเบาหวานซึ่งร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำ
มีโอกาสติดเชื้อง่าย
ก็อาจเป็นโรคนี้ได้บ่อยถ้าหากพบว่ามีอาการของโรคนี้เกิดขึ้นซ้ำซาก
ก็ควรจะตรวจดูว่ามีโรคเบาหวานซ่อนเร้น (ไม่แสดงอาการ)
อยู่หรือไม่
- หญิงตั้งครรภ์อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้นเนื่องจากศีรษะเด็กในท้องกดดันให้เกิดการคั่งของปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ
- ผู้มีภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะเช่น ต่อมลูกหมากโต (ในคนสูงอายุ) ท่อปัสสาวะตีบ
นิ่วในกระเพาะปัสสาวะผู้ป่วยที่ถ่ายปัสสาวะไม่ได้เนื่องจากเป็นอัมพาต เป็นต้น
- ผู้ป่วยที่มีการสวนปัสสาวะ หรือมีการคาสายสวนปัสสาวะหรือใช้เครื่องมือแพทย์สอดใส่ท่อปัสสาวะ1
การมีเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะในระยะแต่งงานกันใหม่ๆทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียหลุดเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย2อาจมีอาการขัดเบา
แบบกระเพาะปัสสาวะอักเสบแพทย์เรียกว่าโรคฮันนีมูน
(Honeymoon's cystitis)สาเหตุเกิดจากการฟกช้ำจากการร่วมเพศแล้วทำให้มีอาการอักเสบของท่อปัสสาวะ
ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคนี้น้อยมาก
ถ้าพบมักมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่นต่อมลูกหมากโต
หรือมีก้อนเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะหรือมีความผิดปกติทางโครงสร้างของทางเดินปัสสาวะ3
อาการ
จะมีอาการขัดเบา คือถ่ายปัสสาวะกะปริดกะปรอยออกทีละน้อยรู้สึกปวดขัดหรือแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะมักจะต้องเข้าห้องน้ำทุกชั่วโมงหรือชั่วโมงละหลายครั้งมีอาการคล้ายถ่ายไม่สุดอยู่ตลอดเวลา
บางคนอาจมีอาการปวดตรงบริเวณท้องน้อย (หัวหน่าว) ร่วมด้วย
ปัสสาวะมักจะออกใสๆ แต่บางคนอาจขุ่นหรือมีเลือดปน
มักไม่มีไข้ ยกเว้นถ้ามีกรวยไตอักเสบร่วมด้วย จะมีไข้สูง หนาวสั่น
ปัสสาวะขุ่นปวดเอวร่วมด้วยในเด็กเล็กอาจมีอาการปัสสาวะรดที่นอนและอาจมีไข้
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย อาการมักเกิดหลังอั้นปัสสาวะนานๆ
หรือมีการสวนปัสสาวะ1
อาการแทรกซ้อน
ส่วนมากมักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
แต่บางรายอาจเป็นๆ หายๆ
เรื้อรังซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษาเชื้อโรคอาจลุกลามขึ้นไปถึงกรวยไตและเนื้อไตได้ ซึ่งในกรณีเหล่านี้จะพบว่ามีอาการไข้สูงหนาวสั่น ปวดบริเวณบั้นเอว
(ปวดหลังทั้งสองข้าง)บางรายมีอาการรุนแรงจนเกิดไตอักเสบและไตวายในผู้ชายเชื้ออาจลุกลามเข้าไปทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ3
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการขัดเบาซึ่งสงสัยเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบควรปฏิบัติตัวดังนี้
1. ดื่มน้ำมากๆ
วันละ 3 - 4 ลิตร (เฉลี่ยประมาณชั่วโมงละ 1 แก้ว) แล้วถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวด น้ำจะช่วยขับเชื้อโรคออกและช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ
2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 – 3 วัน
จึงค่อยกินยาปฏิชีวนะการใช้ยาปฏิชีวนะควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
โดยทั่วไปถ้าไม่เคยแพ้ยามักจะแนะนำให้กินยาอะม็อกซีซิลลิน (ขนาด 500 มิลลิกรัม) หรือยาเม็ดโคไตรม็อกซาโซลวันละ 2
ครั้ง ทุก 12 ชั่วโมง ผู้ใหญ่กินครั้งละ 2
เม็ด เด็กโตครั้งละ 1 เม็ดถ้ารู้สึกดีขึ้น
ควรกินให้ครบ 3 วัน เป็นอย่างน้อย
3. เมื่อรักษาหายแล้ว ต่อไปต้องพยายามอย่าอั้นปัสสาวะเป็นอันขาดมิเช่นนั้นอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบก็จะกลับมาเป็นได้อีก
4. ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เมื่อมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
(1) มีอาการไข้หนองไหล ตกขาว ถ่ายเป็นเลือด หรือกระหายน้ำบ่อยร่วมด้วย
(2) ดูแลตัวเอง 2 - 3 วัน
แล้วยังไม่ดีขึ้น
(3) เป็นๆ หายๆบ่อย
(4) มีความวิตกกังวลหรือไม่มั่นใจจะดูแลรักษาตนเอง
(5) ผู้ชายทุกคนที่มีอาการขัดเบา แม้ว่าจะเริ่มเป็นครั้งแรก
ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุให้แน่ใจ เนื่องจากสรีระของผู้ชายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบน้อยมากถ้ามีอาการอาจมีโรคอื่นซ่อนเร้นอยู่
การรักษา
แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะพื้นฐาน เช่นอะม็อกซีซิลลิน (amoxycillin)โคไตรม็อกซาโซล (cotrimoxazole)กิน 3
วัน แต่ถ้าสงสัยมีอาการแพ้ยา หรือดื้อยาเหล่านี้ก็อาจให้ยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่ง
ได้แก่ นอร์ฟล็อกซาซิน (norfloxacin)
ในรายที่เป็นๆ หายๆ บ่อย อาจต้องทำการตรวจพิเศษเช่น
การนำปัสสาวะไปเพาะเชื้อ
แล้วให้ยาปฏิชีวนะที่ไวต่อเชื้อที่พบการใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะแล้วแก้ไขตามสาเหตุที่พบตรวจเลือดดูว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วยหรือไม่
ถ้าพบก็ให้ยารักษาเบาหวานไปพร้อมกันเป็นต้น
การป้องกัน
1. พยายามดื่มน้ำให้เพียงพอและอย่าอั้นปัสสาวะควรฝึกถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดจนเป็นนิสัยเวลาเดินทางไกล
ต้องฝึกให้เคยชินที่จะเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้ากลัวไม่สะอาดก็ชำระล้างโถส้วมให้สะอาดเสียก่อน
เวลาเข้านอน ถ้าไม่สะดวกจะลุกเข้าห้องน้ำควรเตรียมกระโถนไว้ข้างเตียง
2. หลังถ่ายอุจจาระ
ควรชำระทวารหนักให้สะอาดการใช้กระดาษชำระควรเช็ดจากข้างหน้าไปข้างหลังจนสะอาดเพื่อป้องกันมิให้นำเชื้อโรคจากบริเวณ
ทวารหนักแปดเปื้อนเข้าท่อปัสสาวะ1
3. หมั่นรักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอด ท่อปัสสาวะและทวารหนัก
4. ผู้ป่วยที่มีอาการอักเสบบ่อยๆ เรื้อรัง ควรพบแพทย์
เพื่อหาสาเหตุแอบแฝงอื่นๆเช่น นิ่ว กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติจากระบบประสาทควบคุมหรือมีการอุดตันในกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีผลร้ายแรงหรือไม่ถ้ารักษาให้หายขาดจะไม่มีผลร้ายแรง
ส่วนรายที่ไม่หายขาดนั้นเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจมีผลทำให้การอักเสบลุกลามไปถึงส่วนใดก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้ดังนั้นหลังรับประทานยาครบแล้ว
จึงควรตรวจปัสสาวะซ้ำอีกครั้ง2
ผลไม้และสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
แครนเบอร์รี่Cranberry
แครนเบอร์รี่คือหนึ่งในผลไม้มหัศจรรย์ช่วยต้านการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากงานวิจัยล่าสุดพบว่าช่วยป้องกันโรคเหงือกและแผลในช่องท้องได้ผลงานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า
การดื่มน้ำแครนเบอร์รี่วันละ 300
มิลลิลิตร
จะช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในปัสสาวะลงได้แครนเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียจึงมีสรรพคุณในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ในแครนเบอร์รี่มีสารหลายชนิดที่ช่วยหยุดการเกาะตัวของแบคทีเรียที่บริเวณผนังทางเดินปัสสาวะคนที่เป็นโรคนี้ให้ดื่มน้ำแครนเบอร์รี่เข้มข้น
ไม่มีน้ำตาลแก้วละ 300 มิลลิลิตรทุกวัน
จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคนี้ได้อีก
โดยลักษณะของแครนเบอร์รี่ที่ให้ผลทางการป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพอาจะจะอยู่ในรูปของน้ำแครนเบอร์รี่หรือในรูปแคปซูลจากการศึกษาในกลุ่มของผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์กับการรักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะพบว่าสามารถลดอัตราการติดเชื้อได้ถึง
50% หรือรับประทานอาหารเสริมที่มีสารสกัดจากแครนเบอร์รี่วันละ
800 มิลลิกรัมก็จะช่วยให้ระบบต่างๆ
ในร่างกายแข็งแรงช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากอากาศหนาวเนื่องจากแครนเบอร์รี่มีวิตามินซีสูงจึงช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาวได้
นอกจากนี้วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่นจึงเหมาะที่จะนำไปทำเป็นลิปมันเพื่อป้องกันริมฝีปากแห้งแตกในช่วงหน้าหนาวด้วย
สารสกัดจากผลเบอร์รี่อย่างแครนเบอร์รี่
บลูเบอร์รี่และแบล็กเบอร์รี่นั้นอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อแอนโธไซยานิดินส์
(Anthocyanidins) สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้และจากการศึกษาพบว่าสารในแครนเบอร์รี่ยังงช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมองอย่างอาการความจำ
ในวงการแพทย์ได้ยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่าแครนเบอร์รี่ไม่ว่าจะเป็นในรูปของน้ำผลไม้
แคปซูล ชงดื่ม รวมถึงการนำมาทำอาหาร แยมหรือแม้แต่
น้ำแครนเบอร์รี่หรือในปัจจุบันมีการผลิตมาให้อยู่ในรูปของอาหารเสริมแบบแคปซูล-ซอฟเจลต่างก็ให้ประสิทธิภาพในการรักษาและป้องกันโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะและอวัยวะภายในช่องท้องของสตรีสตรีที่มักประสบปัญหาการอั้นปัสสาวะและเกิดการอักเสบขื้นภายในเมื่อได้รับประทานแครนเบอรี่อย่างน้อยเพียง
2 วัน
ก็จะเห็นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นจากการวิจัยใหม่ยังยกให้แครนเบอร์รี่เป็นตัวการสำคัญในการยับยั้งและรักษาการเกิดก้อนหินในไต
ช่วยลดกรดไขมันในเส้นเลือด
(ไขมันเลว)ช่วยให้ร่างกายสามารถคืนสู่ปกติได้หลังจากอาการชักและสำคัญกว่านั้นคือช่วยในด้านการป้องกันมะเร็ง cranberryไม่ใช่ยาแต่เป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติซึ่งมาจากผลแครนเบอร์รี่ที่ปลูกในแถบอเมริกาเหนือจึงสามารถรับปะทานได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ผล
รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ติดเชื้อ ในท่อปัสสาวะ ขจัดกลิ่นในปัสสสาวะ (ช่วยให้อวัยวะเพศสะอาด)
รักษาและป้องกันเกี่ยวกับโรคที่มาจากเชื้อแบคทีเรียในผลแครนเบอร์รี่ประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิเดนซ์จำนวนมากจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเกลี้ยงเกลา
สรรพคุณ และประโยชน์ของแครนเบอร์รี่
1.ช่วยป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
2.ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียในปัสสาวะลง
3.มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
4.กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
5.ช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่มากับอากาศหนาว
6.วิตามินซีในแครนเบอร์รี่ยังช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื่น
7.ป้องกันริมฝีปากแห้งแตกในช่วงหน้าหนาว
8.สามารถเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจน
9.แครนเบอร์รี่ยังงช่วยต่อต้านอาการป่วยเรื้อรังของสมองอย่างอาการความจำ
10.ช่วยป้องกันโรคเหงือก
11.แผลในช่องท้อง
12.การยับยั้งและรักษาการเกิดก้อนหิน ในไต
13.ช่วยในด้านการป้องกันมะเร็ง
14.ช่วยลดกรดไขมันในเส้นเลือด
15.ช่วยลดอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อในท่อปัสสาวะ
16.ขจัดกลิ่นในปัสสสาวะ (ช่วยให้อวัยวะเพศสะอาด)
17.เป็นตัวยับยั้งเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E.coli)4
กระเจี๊ยบแดงพืชสมุนไพรรักษาอาการขัดเบา-ปัสสาวะไม่ค่อยออก(Urinary System)
อาการขัดเบาคือลักษณะอาการที่ปัสสาวะไม่ค่อยออกปัสสาวะแบบกะปริบกะปรอยรู้สึกเหมือนปัสสาวะไม่สุดอาการขัดเบามีสาเหตุจากหลายประการเช่น
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคนิ่วต่อมลูกหมากโต โรคหนองในหรือดื่มน้ำน้อย ฯลฯ
ทำให้การปัสสาวะเป็นไปอย่างยากลำบากคนที่เป็นโรคขัดเบาจะปัสสาวะบ่อยและแต่ละครั้งที่ปัสสาวะจะมีน้ำปัสสาวะออก
มาน้อยที่แย่ไปกว่านั้นคือปวดอยากจะฉี่แต่ฉี่ไม่ค่อยออก(ไม่ได้ดั่งใจเลย)โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะบางโรคจะมีอาการปวดเสียดท้องน้อยหรือปัสสาวะขุ่นแดงหรือปัสสาวะขุ่นขาวร่วมด้วย5
ต้นทองกวาว
สำหรับสรรพคุณด้านพืชสมุนไพร
ได้แก่
- ยางใช้รับประทานแก้ท้องร่วงเลือดออกในกระเพาะอาหาร
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ขับพยาธิ
- ใบใช้ตำพอกแก้ฝีและสิว
ถอนพิษ แก้ปวด แก้ท้องขึ้น แก้ริดสีดวง ขับพยาธิ
- ดอกรับประทานถอนพิษได้
แก้ไข้ ขับปัสสาวะ ลดความกำหนัด ขับพยาธิใช้หยอดตาแก้ตาแดง ปวดเคืองตา ตาแฉะ ตามัว
- เมล็ดบดให้ละเอียดผสมน้ำมะนาวใช้ทาแก้ผิวหนังเป็นผื่นแดง
อักเสบคันและแสบร้อน (ข้อควรระวัง
พบสารในเมล็ดออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนมีผลเสียต่อสตรีที่กำลังตั้งครรภ์)
- แก่นทาแก้ปวดฟัน
- รากประคบบริเวณที่เป็นตะคริว
ขับพยาธิ6
เสาวรส
คุณประโยชน์ของเสาวรสมีวิตามินเอสูงและสารแคโรทีนอยด์จากการศึกษาพบว่าวิตามินซีของน้ำเสาวรสจะมีมากกว่าที่พบในมะนาว
และพบสาร Albumin
homologous protein จากเมล็ด
สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ
แก้อาการนอนไม่หลับลดไขมันในเส้นเลือดและโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ7
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ในทุกช่วงของชีวิต
นับตั้งแต่เด็กถึงวัยชราโดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงอายุ 20-50ปี
เพราะท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่าผู้ชายและอยู่ใกล้กับทวารหนักเชื้อแบคทีเรียบริเวณทวารหนัก
(ซึ่งปกติมีอยู่จำนวนมาก)จึงมีโอกาสสูงที่เคลื่อนเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการฟักตัวและอักเสบได้
โรคกระเพาะปํสสาวะอักเสบนี้อาจมีสาเหตุหลายๆด้าน เช่น การไดรับเชื้ออีโคไล
เคล็บซิลลา สูโดโมแนส เอนเทอโรแบกเตอร์ เป็นต้น
และการอักเสบของปัสสาวะยังมีปัจจัยสนับสนุนที่ส่งผลให้เกิดโรคนี้อีก เช่น
การกลั้นปัสสาวะ การทำความสะอาดที่ผิดวิธี หรือการใช้ห้องน้ำที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
ปัจจัยต่างๆที่ได้กล่าวมานั้นป็นเพียงส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้เกิดโรคเท่านั้น
นอกจากนั้นยังมีปัจจัยเสี่ยงที่มาจากโรคประตัวเดิมที่ตนเป็นอยู่แล้ว เช่น
ผู้มีภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
ดังนั้นเราควรป้องกันตนเองโดยพยายามดื่มน้ำให้เพียงพอใช้ห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ
และอย่ากลั้นปัสสาวะ ฝึกถ่ายปัสสาวะทุกครั้งที่รู้สึกปวดจนเป็นนิสัยเวลาเดินทางไกล
ต้องฝึกให้เคยชินที่จะเข้าห้องน้ำนอกบ้าน
และถ้ามีอาการอักเสบบ่อยๆหรือเรื้อรัง ควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุแอบแฝงอื่นๆ
อ้างอิง
2.
Mootieแหล่งที่มา :http://www.thaihealth.or.th
วันที่4/11/54
เวลา 22.25น.
3.
โรงพยาบาลพญาไทย
แหล่งที่มา :http://www.phyathai.com วันที่4/11/54เวลา 22.40น.
4.
Boontawee แหล่งที่มา http://boontaweee.blogspot.com
วันที่ 4/11/54เวลา 22.31น.
5.
แหล่งที่มา: thai-herbs-for-goodhealth.blogspot.com วันที่ 7/11/54 เวลา 19.19น.